ขับรถตาม GPS เรื่อย ๆ ก็มาถึงบ้านขนงพระใต้ที่ตั้งของ “สวนไฟฝัน” ฐานที่มั่นของกลุ่ม “ไม้ขีดไฟ” ตรวจ atk แหย่จมูกจนน้ำตารื้น นั่งรอผลบนเก้าอี้ปิกนิกที่มุมหนึ่งไกล ๆ เสร็จแล้วถ่ายเซลฟี่ยืนยันว่าปลอดเชื้อโควิดจึงจะได้เข้าไปร่วมวงกับคนอื่นๆ อาคารหลังเล็กๆหลายหลังที่โอบล้อมสนามหญ้าเขียวๆเอาไว้ บอกได้ชัดเจนว่าที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อกิจกรรมค่ายและการรวมกลุ่มของผู้คน มีตาข่ายสำหรับให้เด็กๆปีนป่าย บ้านดิน เตาอบพิซซ่า มุมหนังสือและโต๊ะกลางลานสำหรับการนั่งรวมกลุ่มสนทนา นกกระรางหัวขวานคู่หนึ่งหากินแมลงอยู่บนสนามหญ้า ช่างเป็นบรรยากาศสบายๆ ยามเช้าที่เหมาะกับการทำความรู้จักกันยิ่งนัก เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่การเรียนรู้และเอามาเล่าเรื่อง คนจัดไม่ได้บีบบังคับว่าจะต้องเขียนออกมาเป็นอะไร จะวาดก็ได้ จะเขียนก็ได้เต็มที่“ไม่ต้องเล่าเรื่องพวกพี่ก็ได้..” พี่กุ๋ยบอก เอ้าาา..ก็อุตส่าห์เหนื่อยยากจัดกิจกรรมขึ้นมา ก็ขอเล่าเสียหน่อยนะพี่นะ.. อย่างที่เกริ่นเรื่องสวนไฟฝันไปว่าเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมของกลุ่มไม้ขีดไฟ Activist ที่ใครหลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ตัวเราเองโฉบไปโฉบมาและเคยแอบมาร่วมกิจกรรมที่จัดในโรงเรียนขนงพระเมื่อหลายปีก่อนเคยไปฟังเตหน่ากู่กลางป่าด้วยกันคราวที่พี่ชิ สุวิชาน มาเล่นที่เขาใหญ่ แล้วก็ห่างหายไปทำสิ่งที่ชอบ ๆ กันอยู่นานจนมาคราวนี้ วันที่โลกกลม ๆ หมุนมาครบรอบในช่วงหลายปี พี่กุ๋ยพี่เอ เล่าเรื่องชีวิตกิจกรรมและที่มาที่ไปของพื้นที่ตรงนี้ให้ฟัง เริ่มจากวัยหนุ่มสาวชาวค่ายแห่งรั้วรามคำแหง ผู้เชื่อว่าทักษะชีวิตนั้นสำคัญพอๆกับความรู้ ผ่านการขับเคลื่อนงานชุมชนมามากมายหลายประเด็น เมื่อจังหวะชีวิตเริ่มเข้าสู่การสร้างครอบครัว มีลูกและไม่อยากให้ลูกเติบโตในสังคมเมืองหลวง จึงปักหมุดพื้นที่ระยะทาง 200 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ เพื่อสร้าง “บ้าน” สักหลัง “ตอนสร้างบ้านที่นี่...