เล่นข้างเตียง(รพ.)

เล่นข้างเตียง(รพ.)

เพราะการเล่นจะช่วยเยียวยา  แม้ในภาวะวิกฤติ

มือนึงถูกปักด้วยเข็มน้ำเกลือ อีกมือนึงก็สาละวนหยิบ จับ ของเล่นโน่นนี่

“หนูลืมไปเลยว่าหนูเจ็บ”  “เดี๋ยวหนูไปให้หมอตรวจก่อน พี่อย่าเพิ่งรีบกลับนะคะ”  “หนูอยู่มาหลายวันแล้ว  นี่เพิ่งได้มาเล่นแบบนี้ ดีนะคะ หนูชอบ”  

แรกๆเด็กๆมีอาการไม่แน่ใจ  ว่าเล่นได้มั๊ย  หรือควรเล่นมั๊ย  แต่เมื่อถูกเชื้อเชิญให้ลองเล่นเท่านั้นแหละ  เข็มที่ปักอยู่ที่มือก็หมดความหมาย  เสียงเจื้อยแจ้วนั้นทำเอาพี่ๆไม่อยากเก็บของกลับกันเลยทีเดียว

เด็กบางคนนั่งเล่นอยู่นานมากตั้งแต่เริ่มขนของขึ้นไปบนหวอด  จนพี่ๆต้องไปส่งกลับเข้าห้องเพราะต้องกลับแล้ว

บางคนมาเล่น  จนเจ้าหน้าที่ต้องมาตาม ให้ไปรับยา/ฉีดยา  แล้วกลับมาใหม่  บางคนตามมาส่งจนถึงรถ และบางคนก็ขอของเล่นบางชิ้นไปเล่นต่อบนเตียง หากไม่มองชุดที่ใส่  มือที่ถูกปักเข็มอยู่  เสาน้ำเกลือข้างๆตัว น้องๆก็ดูปกติดีนะ  ไม่เหมือนคนป่วยเลยซักนิด

“ผมรู้สึกสบายใจมากที่ลูกได้เล่น  เพราะอยู่บนเตียงไม่มีอะไรทำ  ลูกก็ร้องขอแต่โทรศัพท์เพราะเค้าเองก็คงเบื่อ”

“ลืมเจ็บไปเลย  เหมือนจะกลับบ้านได้แล้วนะนั่น”  เสียงของพ่อแม่ผู้ซึ่งเฝ้าดูแลน้องๆอย่างใกล้ชิด  สะท้อนกับพวกเราว่า  การที่เด็กๆได้ลุกจากเตียงมาเล่น  เหมือนช่วยให้เค้าได้ผ่อนคลาย  และลืมอาการเจ็บป่วยไปได้ชั่วขณะ  เล่นจนเหมือนเด็กที่ไม่มีความป่วยไข้ใดใดเลย

นั่นเพราะ“เล่น เป็นยา”

เครือข่ายที่ทำงานเรื่องเล่นในต่างประเทศเคยเล่าให้ฟังว่า  คุณหมอเคยสั่งยาให้เด็ก ด้วยการบอกพ่อแม่ว่า “ให้ลูกไปเล่นอิสระ” คือยาที่ดีที่สุด  แม้จะเข้าใจและเชื่อมั่นสิ่งนี้ไม่ต่างจากหมอ  แต่พอมาถึงวันที่ได้มีโอกาสมาจ่ายยาให้เด็กๆที่ป่วยเอง  คำบอกเล่านั้นยิ่งชัดแจ้ง  “การเล่นเป็นยา” เป็นสิ่งที่ไม่เกินความจริง. มีผลการศึกษา หรือบทความจากหลายที่ที่พูด  ตรงกันถึงความสำคัญของการเล่นสำหรับเด็กป่วย 

  • การเล่นเป็นยาแก้ปวด เพราะช่วงเวลาที่ได้เล่น  ได้จินตนาการ  นั่นคือช่วงเวลาที่ลืมเจ็บ  ลืมความกังวลจากอาการของโรค
  • การเล่นเป็นยาแก้เครียด เพราะในยามเจ็บป่วย การได้ระบายอารมณ์ ให้ผ่อนคลายจากความกังวลจากอาการเจ็บป่วย  ย่อมส่งผลดีต่อผู้ป่วย  และส่งผลดีต่อการรักษา
  • การเล่นเป็นยาแก้เหงา เพราะเมื่อได้เล่นกับเพื่อนๆบ้างหลังจากนอนบนเตียงมาหลายวัน  ได้หัวเราะ  พูดคุย  หยิบจับ  จินตนาการ ซุกซน (ได้บ้าง) ทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยว  รวมทั้งหากการเล่นนั้นได้มีปฏิสัมพันธ์กับ บุคลากรของโรงพยาบาลที่มีหน้าที่ดูแล  รักษาด้วยแล้ว  ย่อมเป็นผลดีในการลดระยะห่าง  ลดช่องว่างระหว่างกัน  จนทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและให้ความร่วมมือในการรักษาได้มากขึ้น
  • การเล่นเป็นยาโด๊ฟ เพราะเมื่อได้เล่น  เด็กก็มีความสุข  พลังของการเล่นทำให้แววตาของเด็กเป็นประกาย  ยิ้มกว้าง  และหัวเราะเสียงดัง  แม้มือจะเสียบเข็มและข้างตัวมีเสาที่ห้อยน้ำเกลืออยู่ก็ตาม

นอกจากนี้สำหรับเด็กที่ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน  การเล่นยังทำให้เด็กรู้สึกได้กลับไปเป็นธรรมชาติของตัวเองอีกครั้ง  ไม่รู้สึกแปลกแยก  แตกต่างจนเกินไป  เพราะยังได้ทำการงานที่เคยทำตอนไม่ป่วยไข้  นั่นคือ การได้เล่น

เล่นอะไร  เล่นแบบไหนได้บ้าง

ประสบการณ์จากการจัดการเล่นในโรงพยาบาล  อันดับแรกคือการทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย  ทั้งกับพื้นที่เล่น และกับผู้อำนวยการเล่น  ทำให้เด็กรู้สึกมีอิสระในการเลือกที่จะเล่น  อะไร แค่ไหน  โดยผู้อำนวยการเล่นพร้อมที่จะเคารพการตัดสินใจของเด็กๆ  นอกจากนี้คือการเตรียมของเล่นมาให้เด็กๆได้เล่น  ต้องหลากหลายรูปแบบ  เพราะเด็กๆหลากหลายทั้งวัย  ทั้งความพร้อม  ทั้งข้อจำกัดของอาการป่วย  ซึ่งของเล่นที่เด็กสามารถเล่นได้ก็มีทั้ง

  • นิทาน
  • บล็อกไม้
  • ตุ๊กตา หุ่นมือ  เล่นบทบาทสมมุติ
  • เล่นทราย
  • ศิลปะ ระบายสี  ตัดปะ ปั้น ประดิษฐ์ ฯลฯ

ทั้งเล่นคนเดียวบนเตียงได้  และเล่นข้างเตียงกับเพื่อนๆได้  ทั้งนี้ของทุกอย่างต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และ ความสะอาดในการที่เด็กจะต้องสัมผัส  จับต้องทุกชิ้น  เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว  ที่เหลือก็ปล่อยให้เด็กๆได้เล่นอย่างอิสระ  แล้วเราจะพบการมีชีวิตชีวาของเด็กๆกลับมาอีกครั้ง  ทั้งวิ่งเล่น  ทั้งปีนป่าย  ทั้งสร้างเรื่องตามจินตนาการกับตุ๊กตา 2-3 ตัว ทั้งสร้างปราสาทราชวังจากบล็อกไม้ตรงหน้า  และบางคนก็มุ่งมั่นกับการระบายสี  ภาพแล้วภาพเล่า

ในระหว่างที่นั่งมองเด็กๆเล่นอยู่นั้น  เปลคนใข้คนหนึ่งก็ถูกเข็นผ่านพวกเราไป  บนเปลเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวๆ 7-8 ขวบ นอนอยู่  เมื่อผ่านบริเวณลานเล่นที่มีเพื่อนๆเล่นอยู่  น้องตะแคงหน้ามาทางลานเล่น  พยายามยกหัวขึ้นมามอง  เราหันไปสบตาพอดี  แววตาเป็นประกาย  ส่งพลังงานของความสดใสออกมา  ราวกับจะบอกว่า “หนูไปหาหมอก่อนนะเดี๋ยวหนูจะกลับมาเล่นด้วย”  เป็นแววตาที่สวนทางกับร่างกายที่อ่อนแอจากโรคภัยอย่างสิ้นเชิง………

เพราะการเล่นไม่ใช่เรื่องเล่น เล่น  เด็กจึงไม่ควรหยุดเล่น

แม้ในยามวิกฤติของชีวิตเช่นนี้  หากผู้ดูแลเด็กลองเปิดใจให้เด็กได้เล่นกับเพื่อน  ได้จินตนาการ  ได้ขยับร่างกายได้บ้างตามเงื่อนไขของอาการป่วย  แทนการนอนอยู่เฉยๆบนเตียง  บางทีเราจะพบว่า  นั่นคือยาเทวดา  ที่จะช่วยฟื้นพลังจากภายในเด็กได้เราต้องการการสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมเช่นนี้ในโรงพยาบาลทุกโรงพยาบาล  โดยเฉพาะหวอดเด็ก  สนับสนุนและติดตามกิจกรรมได้ที่ เพจกลุ่มไม้ขีดไฟ

กิจกรรมเล่นข้างเตียง  โดยกลุ่มไม้ขีดไฟ  ณ  หวอดเด็ก  โรงพยาบาลราชบุรี

ติดตามกิจกรรมเล่นอิสระ Free Play ได้ที่ เพจ กลุ่มไม้ขีดไฟ

เขียนโดย  สุมณฑา  ปลื้มสูงเนิน  คุณแม่นักกิจกรรมที่ทำงานและเลี้ยงลูก  เพราะเชื่อมั่นว่า โลกคือพื้นที่เรียนรู้ของเด็ก