ถ้าเรามุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกลายเป็นความหมกมุ่นได้แล้ว
โลกมักจะเหวี่ยงสิ่งนั้นมาให้เราพบเจอในที่สุด…….
คุณเชื่อสิ่งนี้มั๊ย ??
งั้นลองมาทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้ดู นอร์ธ-ชลันธร ภู่เจริญ ผู้ที่เพิ่งออกเดินทางสู่ประเทศจีน ประเทศแรกใน 40 กว่าประเทศ ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำตามฝัน
“เดินทางรอบโลก” ของเขา จะมาบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์การทำงานเพื่อสังคมโดยเป็นอาสาสมัครกับกลุ่มไม้ขีดไฟ กับความฝันที่จะเดินทางรอบโลกของเขา
ทำไมถึงมาทำงานจิตอาสา
เพราะคิดว่าตัวเองชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไร ครอบครัวของเราก็ดี เราไม่ได้ต้องการอะไรที่จะมอบให้กับตัวเองแต่อยากจะมอบให้กับคนอื่นที่เขายังต้องการบางสิ่งบางอย่างเพิ่มเติมในชีวิต เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเขาได้บ้างครั้งแรกจึงลองไปค่ายอาสาของมหาวิทยาลัย เราคิดว่าทุกคนควรต้องผ่านประสบการณ์ตรงนี้จึงอยากลองเข้าไปเรียนรู้ ลองเข้าไปใช้ชีวิตตรงนั้นดูเป็นบททดสอบของชีวิตที่ได้เข้าไปคลุกคลีกับความลำบาก ได้เรียนรู้ได้เจออุปสรรค์ที่เราคิดว่ามันยากที่เราจะได้เจอ พอลองมาทำดูได้ไปเจอชุมชนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ที่ที่ยังไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ที่ที่เรารู้สึกว่ามันยากมากที่จะหาได้ในปัจจุบัน วิถีชีวิตที่เหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปี 60 ปีก่อน ทำให้เรารู้ว่าเขาลำบากกว่าเรามาก ทุกอย่างเราสบายแต่เขาอยู่บนดอย บนภูเขา เดินทางก็ลำบาก ไม่มีน้ำประปาที่สะอาดหรือสะดวกแบบเรา เขาต้องขุดน้ำบาดาลใช้ บางบ้านมีโทรศัพท์ใช้แต่ก็ต้องไปหาสัญญาณที่ไหนสักแห่ง
มาเป็นอาสาสมัครที่กลุ่มไม้ขีดไฟได้อย่างไร
ตอนแรกได้รับการติดต่อมาจากพี่กุ๋ย ซึ่งเป็นรุ่นพี่ชมรมค่ายอาสา มร. (ค่ายอาสาพัฒนาชนบทของมหาวิทยาลัยรามคำแหง) เราเลยมาลองทำที่นี่ดูก็รู้สึกว่างานจิตอาสาที่เคยทำตอนอยู่มหาลัยกับตอนมาทำที่กลุ่มไม้ขีดไฟมันคล้าย ๆ กันเป็นการให้เหมือนกัน แต่คนละแบบ ซึ่งวิธีการให้เราสามารถให้ได้หลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าเราจะดีไซน์การให้ของเรายังไง
หลังจากที่มาเป็นอาสาสมัครทำให้เราเปลี่ยนความคิดอะไรมั้ย
มันทำให้เราเข้าใจคนมากขึ้น เพราะเราเกิดมาในยุคที่มีพร้อมหมดแล้ว แต่เมื่อเราได้เข้าไปสัมผัสตรงนั้น สัมผัสสิ่งที่เราไม่เคยเจอ จากตอนแรกที่เราเข้าไปเพื่อช่วยพัฒนาชุมชน สร้างอาคาร สร้างห้องสมุด เราคิดว่าเราเข้าไปให้เขา แต่เรากลับพบว่าเราได้อะไรมากมายเลยจากเขาเช่นกัน ได้เรียนรู้ชีวิตที่เราไม่เคยรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจว่ามันยากลำบากยังไงกับการที่ไม่มีถนนหนทางที่สะดวก การสัญจรต้องใช้วิธีการเดินเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีรถบ้างแต่มันก็น้อย ทำให้รู้ว่าเขาต้องอดทนมากกับความเป็นอยู่ในชีวิตเขา แต่กลับกัน พอเราลองมองย้อนกลับไปว่าเขาลำบากรึเปล่า บางคนเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าลำบากเพราะเขาอยู่แบบนั้นมาตลอดชีวิต แล้วเรารู้สึกว่าเขาอาจจะมีความสุขกว่าเราก็ได้เพราะเขาอยู่ในวิถีชีวิตของเขาอย่างมีความสุข พอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ เขาไม่ได้มีหนี้สิ้น ไม่มีปัญหาแบบที่คนในเมืองเป็น เขาใช้ชีวิตแบบเรื่อย ๆ แต่คนในเมื่องใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ ถึงเขาจะอยู่แบบกันดาล แต่มันอาจจะกันดาลในมุมของเรารึเปล่า สำหรับเขาเขาอาจจะโอเค มีความสุขกับสิ่งที่เขาอยู่ มีความสุขกับมิตรภาพที่อยู่รอบตัว มีอะไรเขาก็เอามาแลกกัน เอามาให้กัน เป็นมิตรภาพดี ๆ ที่เราสัมผัสได้ มันทำให้เราอยากจะหาคำตอบตรงนี้เพิ่มเติมเพราะเรารู้สึกว่าความเจริญมันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสุขของมนุษย์รึเปล่า
“เรามาไกลเกินกว่าจะเรียกสิ่งที่ทำว่าจิตอาสา การทำงานเพื่อคนอื่นเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของเรามาโดยตลอด คิดได้อีกทีว่าเราแยกกับมันไม่ออกจริง ๆ”
การเป็นอาสาสมัครยากมั้ย
จริง ๆ ถ้าถามว่ามันยากมั้ย สำหรับผมการทำงานอาสามันไม่ได้ยากเลย อาจจะยากตรงแค่ตอนที่เราต้องทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งการทำอาสาสมัครมันมีอะไรท้าทายใหม่ ๆ ตลอดอยู่แล้ว แต่การเข้าไปในสิ่งที่มันเสี่ยงก็เป็นบททดสอบที่น่าท้าทาย อย่างตอนไปช่วยน้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสกลนครปี 60 กับกลุ่มไม้ขีดไฟ เรารู้สึกว่ามันเสี่ยงกับชีวิตเราเลยนะแล้วเรากล้าที่จะไปเสี่ยงกับตรงนั้นรึเปล่าเพื่อคนอื่น การให้หรือการช่วยเหลือที่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงนั่นคือสิ่งที่ท้าทายที่สุด ความกล้าที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง นั่นแหละคือความท้าทายของงานอาสา
ถ้าอยากเป็นอาสาสมัครต้องเริ่มต้นยังไง
จริง ๆ มันง่ายมากเลยที่เราจะให้คนอื่น มันสามารถทำได้ตั้งแต่เราคิดเลย เพราะการเป็นอาสาสมัคร
ไม่จำเป็นต้องมาทำในองค์กร แค่เราอยากให้อะไรคนอื่นก็ให้ไปได้เลย ให้ในที่นี้คือไม่หวังผลตอบแทน ให้คนที่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดว่าอยากมาเป็นอาสาสมัครในองค์กร หลาย ๆ องค์กรก็เปิดรับสมัครอยู่ตลอดเวลา บางทีเราไม่รู้เพราะอาจจะไม่ได้ติดตามข่าว แต่การมาเป็นมันง่ายมากแค่ติดต่อเข้ามา
แล้วความใฝ่ฝันในชีวิตคืออะไร
ความใฝ่ฝันในชีวิตคือการเดินทางรอบโลก40 กว่าประเทศ มีฝันนี้มาตั้งแต่ ม.2 มันมีสามเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เราอยากเดินทาง อย่างแรกเลยคือ เราคิดว่าโลกนี้มันกว้างมาก มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้เราเข้าไปเรียนรู้ มันเหมือนกับงานจิตอาสาที่เราได้เข้าไปเรียนรู้ความแตกต่างของคนที่หลายหลายเชื้อชาติกัน เรารู้สึกว่ามันมีความแตกต่างเยอะแยะมากมายที่รอให้เราเข้าไปค้นหา แลกเปลี่ยนความรู้ทัศนคติต่อกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีทั้งให้และรับ เราอยากเข้าใจโลกที่มันกว้างกว่านี้ และเราเชื่อว่าการที่เราได้ไปเรียนรู้ประสบการณ์ตรงนั้น การได้ไปเห็นจริง ๆ มันเหมือนเปิดโลกกว้างของเราเลย อย่างที่สองคือ เราคิดว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ หลัก ๆ เลยมันเกิดจากความไม่เข้าใจความแตกต่าง การที่เราได้ออกไปเรียนรู้ในสิ่งที่มันแตกต่างทุก ๆ อย่างบนโลกใบนี้มันจะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เมื่อเข้าใจมันแล้วรู้สึกว่าเราพร้อมที่จะยอมรับเขาได้ ยอมรับความแตกต่างของเขา สุดท้ายจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นจากการที่เราไปเข้าใจคนอื่น มันจะทำให้ลดความขัดแย้งกับคนอื่นได้ ถ้าเกิดคนไทยได้ไปเรียนรู้ความแตกต่าง ได้ไปเข้าใจความแตกต่าง เราเชื่อว่าเขาจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นและมันจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลยในประเทศไทยหรือว่าที่ไหนก็ตามบนโลก อย่างที่สามคือ เราอยากเป็นแนวทางให้คนไทย ไม่ว่าใครก็สามารถที่จะออกเดินทางตามความฝันของตัวเองได้ ขอเพียงแค่เราตั้งใจพยายามทำมัน ไม่ว่าจะรวยหรือจน ฐานะบ้านดีหรือไม่ดี ทุกอย่างมันเล็กมาก สำคัญที่ความกล้าอย่างเดียว กล้าที่จะทำมัน เพราะความกล้าเรามันใหญ่มาก เราไม่ได้วิเศษกว่าคนอื่นเลยเราเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความฝันแล้วอยากจะทำมัน ถ้าเราทำได้คนอื่นก็ทำได้ และเราหวังว่าคนไทยจะออกไปเดินทาง ออกไปใช้ชีวิตกันมากขึ้น
แล้วการใช้ชีวิตเป็นอาสาสมัคร กับ ความฝันที่จะเดินทางรอบโลก มันสัมพันธ์ มันสนับสนุนกันมั๊ย
มากเลยหละ…..อย่างแรก งานอาสาสมัครที่เราทำพาเราให้ไปเจอผู้คนมากหน้าหลายตา เจอคนแปลกหน้าเรื่อยๆ เจอคนที่ทำงานอาสาเหมือนเรา ทั้งคนไทยทั้งต่างชาติ ทำให้เราได้เพื่อน ได้มิตรภาพ ไม่ตื่นเต้น ไม่กลัว เหมือนเป็นการเตรียมพร้อมรับมือ ในวันที่เราออกเดินทางไปเจอผู้คนใหม่ๆ ต่างที่ ต่างถิ่น
อย่างที่สอง การได้เจอผู้คน เจออาสาจากหลายประเทศทั่วโลก แทบทุกคนเดินทางด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่ต่างจากเรา ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางกับผู้คนเหล่านั้น ได้แชร์ช่องทางการเดินทาง เรายิ่งมั่นใจว่า สิ่งที่เราฝันนั้นเป็นจริงได้แน่นอน เป็นการเตรียมการ ทำการบ้านก่อนเดินทางได้เป็นอย่างดี
อย่างที่สาม ที่กลุ่มไม้ขีดไฟ ก็มีสวนไฟฝัน ที่เป็น Host ให้อาสาสมัครต่างชาติมาใช้ชีวิต มาเรียนรู้การเป็นอาสาสมัครด้วย ทำให้เราเองได้เรียนรู้ทั้งการเป็น Host และการใช้ชีวิตกับ Host ซึ่งอันนี้มันตรงกันพอดี เพราะทำให้เรารู้ว่านี่เป็นวิธีที่เราสามารถไปใช้ชีวิตแบบนี้ได้ในต่างแดน
อย่างสุดท้าย การทำงานอาสาของเราไม่ได้มีแค่คนไทย การได้ทำงานกับอาสาต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นการฝึกฝนภาษาอังกฤษไปในตัว โดยไม่ต้องไปเสียเงินเรียนเลยซักบาท >>
คราวนี้พอจะเชื่อได้หรือยังว่า เมื่อเรามุ่งมั่น อย่างถึงที่สุด โลกก็จะเหวี่ยงสิ่งเหล่านี้มาให้ อย่างเหมาะเจาะ ถูกที่ ถูกทาง
จนถึงวันนี้วันที่เขาได้เริ่มออกเดินทางตามฝันแล้วจริงๆ เชื่อเหลือเกินว่า ประสบการณ์การทำงานอาสาสมัครของเขาจะเป็นประโยชน์กับการเดินทางของเขา และสนับสนุนฝันของเขาอย่างแน่นนอน ในโลกของงานอาสาสมัคร ยังมีอีกหลายเรื่องราว รอเหวี่ยงไปเจอคุณ บางทีสิ่งที่เป็นฝันของคุณ… โลกอาจกำลังรอเหวี่ยงสิ่งนั้นไปเจอคุณอยู่เช่นกัน
สามารถติดตามการเดินทางของเขากันได้ในเพจfacebook “หาตังค์เที่ยวรอบโลก” และติดตามการเป็นอาสาสมัครได้ที่ กลุ่มไม้ขีดไฟ
สัมภาษณ์โดย ผักหวาน นักศึกษาฝึกงานจาก มศว. (กรกฎาคม-สิงหาคม 62)