เกาะติดขอบสนาม ตามไปดูกิจกรรมศิลปะสัญจร ที่กลุ่มไม้ขีดไฟสัญจรไปชวนเด็กๆ ในโรงเรียนขยายโอกาส ระดับประถม 4-6ตะลุยเข้าสู่โลกศิลปะที่หลากหลาย จำนวน 8 โรงเรียนๆละ 2 รอบ รวมๆแล้ว 16 รอบ มีเด็ก ๆ ที่ได้ผ่านกิจกรรมนี้ประมาณ600 คน
ความน่าสนใจของกิจกรรมนี้อยู่ที่การตั้งสมมุติฐานว่า โรงเรียนขนาดเล็ก มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวิชาศิลปะ ขาดครูที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และการเรียนศิลปะในโรงเรียนก็มักจะเรียนแค่วาดภาพระบายสี ท้ายที่สุด เด็กที่สนุกกับการวาดก็จะวาดได้ดีอยู่กลุ่มหนึ่ง ส่วนคนที่ไม่ถนัดวาดก็ไม่มีช่องให้เลือกลง ตกขอบไปตามระเบียบ
เมื่อสมมุติฐานชัด กิจกรรมก็ชัดเจนว่า เด็กๆต้องได้เข้าสู่โลกแห่งศิลปะ อย่างหลากหลาย เด็กทุกคนต้องรู้สึกสนุก และภูมิใจกับผลงานของตัวเอง ต้องไม่มีผลงานของใครถูกโยนทิ้งถังขยะ กิจกรรมศิลปะสัญจรครั้งนี้จึงประกอบไปด้วย งานปั้น งานประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุใกล้ตัว งานสีที่ไม่ต้องวาด และงานภาพพิมพ์จากไม้ โดยมีข้อตกลงที่เด็กๆทุกคนต้องปฏิบัติตาม 3 อย่าง คือ
- ไม่มีคำว่า ทำไม่ได้แต่ให้พูดว่า “หนูทำได้”
- ผลงานทุกชิ้นสวยเท่ากันและ
- ให้ชมผลงานของเพื่อนแทนการล้อผลงานของเพื่อน
เมื่อลงปฏิบัติจริง พบว่าสมมุติฐานของเรานั้น ไม่มีอะไรผิดพลาด โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีครูศิลปะ ครูคนไหนก็สอนศิลปะได้ และวิชาศิลปะมักไม่ถูกให้ความสำคัญ แถมบางโรงเรียนที่เจอ บางชั้นไม่มีเรียนวิชาศิลปะ
ศิลปะ ไม่ใช่แค่ วาดภาพระบายสี
Q : ในโรงเรียนสอนวิชาศิลปะมั๊ย
A : สอนครับ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
Q : สอนอะไรบ้างคะ
A : วาดภาพ ระบายสี ทฤษฎีสี (ตอบแบบนี้เกือบ 100%)
Q : ใครเป็นคนสอนศิลปะ
A : ครูประจำชั้น สอนทุกวิชาเลยค่ะ (มีน้อยโรงเรียนที่จะมีครูศิลปะ)
Q : ครูสอนเทคนิคการวาดแบบไหนบ้าง
A : ครูให้วาดอะไรก็ได้
คำตอบสุดท้ายนี่สะท้อนใจที่สุด เราเองก็เรียนศิลปะกับครูแบบนี้ “เอ้า ไป ไปวาดอะไรก็ได้มาส่ง” จนทุกวันนี้วาดอะไรไม่เป็นเลยนอกจาก ภูเขา 2 ลูกมีพระอาทิตย์ตรงกลาง นี่ยังมีวิธีสอนแบบนี้ในยุคนี้อีกเหรอ ยุคที่ครูเองก็สามารถเปิดยูทูป ค้นหาวิธีสอนสนุกๆได้สารพัด แต่ทำไม? ไม่ทำ
เด็กๆหลายคนที่เราไปเจอ เพื่อนบอกว่า เป็นเด็กเก่งศิลปะ แต่พอมาเจองานประดิษฐ์ แบบไม่มีกรอบแต่ให้ใส่จินตนาการได้เต็มที่ กลับทำไม่ได้ ใช้วลานานกว่าเพื่อนกว่างานจะสำเร็จ เพราะศิลปะของเด็กๆคือการวาดภาพให้เหมือน ระบายสีให้สวยเนี๊ยบ นั่นคือ ศิลปะ
แต่ในความเป็นจริง และควรจะเป็น คือ การจัดประสบการณ์ศิลปะสำหรับเด็กนั้น ต้องจัดให้หลากหลาย และเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง เพราะเมื่อพูดถึงศิลปะ ใครๆก็รู้ว่ามีตั้งหลายประเภท
มีนักปราชณ์บางท่านแบ่งศิลปะซึ่งเรียกว่า “วิจิตรศิลป์ (Fine Art ) ออกเป็นตั้ง 13 ประเภท คือ
- จิตรกรรม(Painting)
- ประติมากรรม(Sculpture)
- สถาปัตยกรรม(Architecture)
- วรรณกรรม(Literature)
- ดนตรี(Music)
- นาฏกรรม(Drama) ละคร
- ภาพยนตร์(Cinema)
- ภาพถ่าย(Photo)
- ภูมิปัญญา(Knowledge)
- งานแกะสลัก( Carvings)
- งานปักผ้า( Embroidery)
- งานประดิษฐ์(Craft work)
- ศิลปะลายเส้น(Line Art)
(อ้างอิงจากวิกิพีเดีย)
เอาหละ ไม่ต้องจัดประสบการณ์ให้เด็กครบทั้ง 13 ประเภทก็ได้ เพียงแค่ขอให้มีความหลากหลายบ้าง เพื่อจะได้ตอบสนองความถนัดที่แตกต่างกันของเด็ก มีข้อมูลหนึ่งของ คุณเลิศ อานันทะ จาก www.thaiartstidio.com เขียนเปรียบเทียบการจัดประสบการณ์ศิลปะให้เด็กระหว่างแบบเก่า และแบบใหม่ ไว้อย่างสนใจดังนี้
แบบเก่า |
แบบใหม่ |
ครูคือศูนย์กลางของห้องเรียนที่ทุกคนต้องเชื่อฟัง |
เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ส่งเสริมให้แสดงออกอย่างอิสระ ภายใต้ระเบียบข้อตกลงร่วมกัน |
กำหนดเนื้อหาแน่น ตายตัว |
เนื้อหาไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความสนใจของผู้เรียน |
มุ่งเน้นให้เด็กทำตามตัวอย่าง หรือผลงานของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว |
ส่งเสริมให้เด็กแสงออกโดยวิธีการแบบแก้ปัญหา จึงไม่นิยมทำตัวอย่างให้เด็กดูทุกครั้ง นอกจากบางกรณีที่จำเป็นครั้งคราว |
ยึดถือเอาผลงานเป็นเป้าหมายปลายทางในการเรียนรู้ |
ไม่ถือว่าผลงานเป็นสิ่งสำคัญแต่เน้นที่กระบวนการเรียนรู้ เช่น การสร้างเสริมศิลปะนิสัย มีรสนิยมที่ดี ดังนั้นผลงานจึงเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น |
มุ่งพัฒนาเด็กเฉพาะอวัยวะบางส่วนเท่านั้น เช่น ความแม่นยำในการใช้ประสาทตาและกล้ามเนื้อนิ้วมือ เป็นต้น |
มุ่งพัฒนาเด็กตลอดชีวิต |
วัดและประเมินผลโดยครูเพียงฝ่ายเดียว
|
วัดและประเมินผลโดยครูและนักเรียนร่วมกัน
|
มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกคนให้เป็นศิลปินหรือช่าง
|
มีจุดหมายเพื่อจัดเตรียมกำลังคนให้มีคุณภาพโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นช่างศิลป์ เด็กโตขึ้นอาจมีอาชีพอื่นๆ ก็ได้ |
สำหรับเราอ่านแล้วโดนทุกข้อ ใช่ทุกประโยค โดยเฉพาะข้อสุดท้าย เราคิดเสมอว่า เราเรียนศิลปะ เราส่งลูกเรียนศิลปะ ไม่ใช่เพื่อต้องการจะเป็นศิลปินที่คว้ารางรางวัลมากมาย แต่เราเชื่อมั่นว่าโลกของศิลปะจะสร้างความสุนทรียะให้ชีวิตมนุษย์ และเราก็เชื่ออีกว่าถ้ามนุษย์เข้าถึงความสุนทรียะของชีวิตได้ มนุษย์จะใช้ชีวิตเป็น แก้ปัญหาเป็น เหมือนคำของ ศาตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่กล่าวไว้ว่า
“ศิลปะไม่ได้สอนให้นายวาดรูปหรือเขียนรูปเป็นอย่างเดียว
แต่……..สอนให้นายรู้จักชีวิต”
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทิ้งเด็กที่ทักษะทางศิลปะไม่ดี ไม่สามารถปั้นให้คว้ารางวัลได้ไว้หลังห้อง แต่ควรเปิดโอกาสให้เขาได้เข้าสู่โลกของศิลปะเพื่อไปเป็นผู้เสพผลงานของศิลปิน อย่างผู้มีอารยะต่อไป
“ความสวย”ในงานศิลปะของเด็ก ทำไม ?มีแบบเดียว
A : ชอบมั๊ยแบบนี้ (เราถามเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังเป่าสีลงกระดาษ)
Q : ชอบค่ะ มันสนุกดี เลอะด้วย
A : แล้วชอบผลงานตัวเองมั๊ย มันสวยมั๊ย
Q : ชอบค่ะ แต่ไม่สวยหรอกหนูว่า
A : อ้าว ทำไมหละ แล้วแบบไหนสวย
Q : (คิดอยู่นาน) ก้อ….แบบวาดสวยๆอ่าค่ะ
เมื่อโลกศิลปะของเด็กแคบแค่การวาดภาพระบายสีให้เหมือน ความสวยจึงมีเท่านั้นจริงๆ ยิ่งเหมือนยิ่งสวย ยิ่งเนี๊ยบยิ่งสวย การให้ค่างานศิลปะจึงมุ่งไปที่แบบเดียว มุมมอง ทัศนะต่องานศิลปะที่เราบ่มเพาะลงในเด็กจึงแคบอย่างน่าตกใจ
เช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่เราจะปั้นศิลปินมือดีเลย แค่ปั้นผู้ชมงานศิลปะที่มีคุณภาพ เรายังทำไม่ได้เลย
เพราะเราไม่สามารถนำพาเด็กๆไปถึง “ความงาม” ได้ เพราะเมื่อเราพูดถึงศิลปะ เรามักจะหมายถึงความงาม “ความงาม” เป็นเรื่องของคุณค่า แต่เป็นคุณค่าทางสุนทรียะ ไม่ใช่คุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นคุณค่าต่อจิตใจ ไม่ใช่เหตุผล ความคิด หรือข้อเท็จจริง เราเคยได้ยินใครซักคน เคยพูดไว้ว่า คนที่สัมผัสความงามได้ง่ายมักจะเป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าคนที่ค้นไม่พบความงามจากสิ่งรอบตัวเลย
เพราะฉะนั้นเมื่อความสวย ความงาม ของเด็กๆไปผูกติดกับความเหมือน ความเนี๊ยบ ความถูกต้องตามทฤษฎี การจะเจอความงามจากสิ่งรอบตัวจึงเป็นเรื่องยากมากขึ้น
“การเรียนศิลปะต้องไม่มุ่งแต่ สร้างศิลปิน แต่ต้องสร้างผู้เสพงานศิลปะด้วย ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสาขาอาชีพใดก็ตาม”
ยิ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ยิ่งไม่ควรละเลยวิชาศิลปะ
โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขยายโอกาส เป็นโรงเรียนที่นักเรียนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นเด็กจากในชุมชน มาจากครอบครัวเกษตรกรที่อาจจะไม่ได้ต้องการมุ่งสู่อาชีพทางวิชาการไปซะทั้งหมด ทักษะชีวิตจึงน่าจะเป็นคำตอบสำคัญในการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กๆกลุ่มนี้ ศิลปะจึงเป็นวิชาที่ตอบโจทย์เป็นอย่างดี หากเราจะให้ความสำคัญในการเรียนการสอนวิชาศิลปะให้มากกว่านี้ เพราะ ศิลปะไม่ได้สอนเพียงเพื่อให้เด็กสอบวาดรูปเป็นเท่านั้น แล้วศิลปะ สอนอะไรในชีวิตเด็กบ้าง
- ศิลปะสอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์เพราะการเรียนศิลปะ ช่วยให้เด็กๆได้คิดนอกกรอบ ได้ลองคิดอะไรในมุมมองใหม่ ศิลปะไม่มีผิดถูก ศิลปะเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์ ข้อนี้ไม่น่าจะมีใครไม่เห็นด้วย
- ศิลปะช่วยเพิ่มความมั่นใจ เกิด Self Esteemเพราะการที่ได้อธิบายพูดคุยถึงผลงานของตนเองอย่างไม่มีผิดถูก เป็นการค่อยๆเพิ่มทักษะความมั่นใจลงในใจเด็กได้เป็นอย่างดี
- ศิลปะช่วยฝึกทักษะการแก้ปัญหาเพราะแนวทางของการทำงานศิลปะเด็กๆสามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายแนวทาง คำตอบของศิลปะต้องไม่ใช่คำตอบเดียว
- ศิลปะฝึกให้เด็กมีสมาธิข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว เพราะการทำงานศิลปะแต่ละชิ้นให้สำเร็จนั้น เด็กๆต้องจดจ่อ ต้องมีสมาธิ บางชิ้นงานอาจใช้เวลาหลายวัน
- ศิลปะฝึกความรับผิดชอบแน่นอนว่าการทำงานศิลปะแต่ละชิ้นให้สำเร็จได้นั้นเด็กๆต้องอาศัยความรับผิดชอบสูงมาก
- ศิลปะช่วยให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนยากที่จะอธิบาย ศิลปะจะช่วยให้เด็กๆสื่อสารความรู้สึกนั้นออกมาเป็นชิ้นงานได้ ศิลปะจะช่วยให้เด็กๆเข้าใจความรู้สึกตัวเอง วิเคราะห์ว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร
- ศิลปะฝึกการสังเกตศิลปะจะช่วยให้เด็กๆรู้จักสังเกตสิ่งรอบตัวมากขึ้น และมีมุมมองต่อสิ่งรอบตัวที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความละเอียดอ่อนต่อการใช้ชีวิตด้วย
(อ้างอิงบางส่วนจากเพจเรียนเมืองนอก เรียนอินเตอร์ ค้นหาตัวเอง)
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่เห็นเหตุผลใดใด ที่วิชาศิลปะจะถูกตัดออก หรือถูกไม่ให้ความสำคัญ เพราะเมื่อเราเติบโต ไปใช้ชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในสาขาอาชีพใด ศิลปะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้ตั้งแต่ ตื่นนอนจนเข้านอน ตั้งแต่เล็กจนโต “เพราะศิลปะไม่ใช่แค่วิชาชีพ แต่มันคือชีวิต”
By>>> TONSOM
(17 sep 2020)
สนใจสนับสนุนให้เด็กได้เรียนศิลปะ
สนใจร่วมเป็นอาสาสมัครกลุ่มไม้ขีดไฟ
ติดต่อกลุ่มไม้ขีดไฟ