เพราะการเล่นจะช่วยเยียวยา แม้ในภาวะวิกฤติ มือนึงถูกปักด้วยเข็มน้ำเกลือ อีกมือนึงก็สาละวนหยิบ จับ ของเล่นโน่นนี่ “หนูลืมไปเลยว่าหนูเจ็บ” “เดี๋ยวหนูไปให้หมอตรวจก่อน พี่อย่าเพิ่งรีบกลับนะคะ” “หนูอยู่มาหลายวันแล้ว นี่เพิ่งได้มาเล่นแบบนี้ ดีนะคะ หนูชอบ” แรกๆเด็กๆมีอาการไม่แน่ใจ ว่าเล่นได้มั๊ย หรือควรเล่นมั๊ย แต่เมื่อถูกเชื้อเชิญให้ลองเล่นเท่านั้นแหละ เข็มที่ปักอยู่ที่มือก็หมดความหมาย เสียงเจื้อยแจ้วนั้นทำเอาพี่ๆไม่อยากเก็บของกลับกันเลยทีเดียว เด็กบางคนนั่งเล่นอยู่นานมากตั้งแต่เริ่มขนของขึ้นไปบนหวอด จนพี่ๆต้องไปส่งกลับเข้าห้องเพราะต้องกลับแล้ว บางคนมาเล่น จนเจ้าหน้าที่ต้องมาตาม ให้ไปรับยา/ฉีดยา แล้วกลับมาใหม่ บางคนตามมาส่งจนถึงรถ และบางคนก็ขอของเล่นบางชิ้นไปเล่นต่อบนเตียง หากไม่มองชุดที่ใส่ มือที่ถูกปักเข็มอยู่ เสาน้ำเกลือข้างๆตัว น้องๆก็ดูปกติดีนะ ไม่เหมือนคนป่วยเลยซักนิด “ผมรู้สึกสบายใจมากที่ลูกได้เล่น เพราะอยู่บนเตียงไม่มีอะไรทำ ลูกก็ร้องขอแต่โทรศัพท์เพราะเค้าเองก็คงเบื่อ” “ลืมเจ็บไปเลย เหมือนจะกลับบ้านได้แล้วนะนั่น” เสียงของพ่อแม่ผู้ซึ่งเฝ้าดูแลน้องๆอย่างใกล้ชิด สะท้อนกับพวกเราว่า การที่เด็กๆได้ลุกจากเตียงมาเล่น เหมือนช่วยให้เค้าได้ผ่อนคลาย และลืมอาการเจ็บป่วยไปได้ชั่วขณะ เล่นจนเหมือนเด็กที่ไม่มีความป่วยไข้ใดใดเลย นั่นเพราะ“เล่น เป็นยา” เครือข่ายที่ทำงานเรื่องเล่นในต่างประเทศเคยเล่าให้ฟังว่า คุณหมอเคยสั่งยาให้เด็ก ด้วยการบอกพ่อแม่ว่า “ให้ลูกไปเล่นอิสระ” คือยาที่ดีที่สุด แม้จะเข้าใจและเชื่อมั่นสิ่งนี้ไม่ต่างจากหมอ แต่พอมาถึงวันที่ได้มีโอกาสมาจ่ายยาให้เด็กๆที่ป่วยเอง คำบอกเล่านั้นยิ่งชัดแจ้ง “การเล่นเป็นยา” เป็นสิ่งที่ไม่เกินความจริง. มีผลการศึกษา...