“บ้านท่ามะปราง ถ้าจะว่าด้วยลักษณะภูมิศาสตร์ ที่ตรงนี้เป็นรอยต่อที่เป็นที่ราบแห่งแรกที่ติดเขาใหญ่..” พี่หนึ่งบอก (เจ้าขอสวน)
“คนที่นี่เริ่มตั้งถิ่นฐานมาได้สักห้าสิบกว่าปี อพยพกันมา มีทั้งคนลาวโคราช คนไทยทุ่งจากบ้านแบด บ้านนา บางอ้อ ส่วนมากรุ่นนั้นก็จะเป็นการจับจองที่ทำกินกัน..”
เราเดินผ่านป่ายูคาลิปตัสต้นสูงใหญ่
“ที่นี่ตอนแรก ๆ พ่อพี่ก็เริ่มจากปลูกยูคาลิปตัสแหละ” พี่หนึ่งอธิบาย
“ตอนนี้ก็พยายามเอาออกไปเยอะแล้ว เพราะยูคาเป็นไม้ต่างถิ่น หากินเก่ง ตายยาก และแย่งอาหารของพืชอื่น ๆ พอเอาออกไปบ้างก็เริ่มลงไม้ผลบ้าง กล้วยบ้าง หรือบางส่วนก็ปล่อยให้กลับคืนเป็นป่า”
ฉันมองป่ายูคาลิปตัสแล้วก็นึกในใจ เรือกสวนไร่นาหลายแห่งกลายเป็นพื้นที่ปลูกยูคาลิปตัส หรือต้นกระดาษ โดยมีการจูงใจให้เกษตรกรปลูกในที่ดินตัวเอง มีโรงงานมารับซื้อคืนเมื่อโตได้ขนาด แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือยูคาลิปตัสนั้นเป็นไม้ที่สามารถดูดซึมน้ำทางเรือนรากได้เก่ง ถ้าปลูกในที่แล้งจะดูดความชื้นไปจากดินในบริเวณนั้น ทำให้ต้นไม้อื่นรอบ ๆ ชะงักการเติบโต
เดินมาสักพัก ก็มาถึงจุดไฮไลท์ของสวนปู่สม อุโมงค์ต้นไผ่ที่เขียวครึ้มอยู่เบื้องหน้า ทำเอาเราหลายคนอุทาน กิ่งไผ่สองด้านที่โค้งเข้าหากันเชื้อชวนให้เราเดินเข้าไปชม พื้นดินเบื้องหน้าถูกคลุมด้วยใบไผ่เป็นสีน้ำตาลอ่อนไล่เฉด แดดครึ้ม ๆ ของวันนี้ลอดผ่านกิ่งไผ่เบื้องบนลงมาเป็นลำแสงจาง ๆ
“นี่มันเกียวโตชัดๆ!” ฉันพึมพำอยู่ในใจ
พวกเราเดินมุดเข้าไปในป่าไผ่ มีเสียงคุยกันเบา ๆ บ้าง บางคนหยุดถ่ายรูปบ้าง
พี่หนึ่งบอกว่าตอนแรกตั้งใจจะใช้พื้นที่ตรงนี้ เป็นพื้นที่ต้อนรับและทำกิจกรรม แต่ติดว่ามันอยู่ลึกเกินไป ลำบากเรื่องการจัดการพื้นที่ เลยเลือกใช้พื้นที่ด้านนอกแทน
สิ่งที่ชวนตะลึงอีกอย่างหนึ่ง คือเมื่อเราเดินลึกเข้ามาในป่าไผ่ ภาพของต้นยางนาขนาดใหญ่ที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าทะลุยอดไผ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นภาพที่ผู้มาเยือนอย่างฉันไม่คาดว่าจะได้เห็น การปรากฏตัวอยู่อย่างเงียบๆ แต่ท้าทาย ทำให้มนุษย์อย่างเราดูตัวเล็กจ้อยลงไปถนัดตา รู้ตัวอีกทีก็เดินเข้าไปอยู่ใต้คุณปู่ยางนา เอื้อมมือไปสัมผัสที่ลำต้นเบา ๆ ด้วยจิตคารวะ
“ขอพลังหน่อยนะคะ..” ฉันนึกพลางหลับตาลงช้า ๆ
รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านตัวไป เสียงของลมที่พัดใบไผ่ และความนิ่งสงบตรงหน้า
..พลังชี่จากธรรมชาตินั้นเยียวยาเราได้เสมอ..
ขากลับออกมาจากป่าไผ่
ฉันนึกขอบคุณปู่สมที่ปลูกต้นไม้เหล่านี้ ต้นไม้ของปู่ทำให้เราได้มีพื้นที่ได้มาพบปะมิตรสหาย
มีพื้นที่ให้ชาวลูกมะปรางมาคิดมาทำอะไรดี ๆ ด้วยกัน
เป็นพื้นที่ในการสร้างพลังให้พี่หนึ่งได้สืบต่อความหวังกับบ้านเกิดที่เชื่อมต่อกับความฝันของตัวเองและยังประโยชน์ให้กับผู้อื่น
“..ต้นไม้เป็นตัวแทนความรักและระลึกถึงใครสักคนได้
ชีวิตมนุษย์นั้นอาจสั้นนัก
แต่ต้นไม้ที่ค่อย ๆ เติบโตจะยืนหยัดยาวนาน
ร่มเงาไม้ใหญ่ จะเป็นที่เอนพักกายใจ
ยอดใบสีเขียวอ่อนที่ผลิออกมานั้น แสดงถึงความหวัง
ดอกที่ค่อย ๆ บานส่งกลิ่นหอมระรวย อาจเตือนเราถึงใครสักคนหนึ่ง
ลูกไม้ที่ออกผลเป็นรสชาติพิเศษ
ทำให้จดจำถึงความหวานเฉพาะตน
ที่บอกว่าคนปลูกได้ฝากหัวใจเอาไว้ในผืนดินแห่งนี้..”