“การสอนศิลปะ ไม่ใช่สอนเพียงเพื่อให้คนเป็นศิลปิน แต่สอนให้คนคิดเหมือนศิลปินด้วย”
ครูเจิ้น ครูศิลปะจากโรงเรียนฟ่งซิน เมือง Kaohsiung,Taiwan
>> มาไต้หวัน 2 ครั้ง ครั้งแรก 7 วัน ในฐานะนักท่องเที่ยว ทำข้อมูลกันเอง อ่านเอา และเที่ยวเอง ไม่มีโอกาสได้พูด คุยลึกๆถึงเบื้องหลังของเบื้องหน้าที่เห็นแล้วที่รู้สึกประทับใจ แล้วเห็นอะไรบ้างในตอนนั้น?
เห็นความใส่ใจในการจัดการพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นขนส่งสาธารณะ เทรลเดินป่าเส้นทางจักรยาน สนามเด็กเล่น ถูกสร้างและออกแบบอย่างดี เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่แค่มีงบประมาณมาสร้าง แต่คิดอย่างละเอียด ทั้งเรื่องการเข้าถึงของคนทุกวัย ความสะดวกและความงาม
เห็นพื้นที่ศิลปะเกลื่อนเมือง ทั้งสถานีรถMRT ทั้งอาคารสถานที่ กำแพง ไม่เว้นแม้แต่ท่อระบายน้ำ เห็นพิพิธภัณฑ์ โรงละคร แกลอรี่มากมาย ในทุกเมือง สิ่งเหล่านี้มีอยู่ แสดงว่าต้องมีผู้ชม
กลับมาไต้หวันครั้งนี้ 12 วัน ในฐานะนักเรียนรู้ คราวนี้ได้เจาะลึกได้พูดคุยกับผู้อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เห็นครั้งก่อน
ทำไมที่นี่มีพื้นที่ศิลปะอยู่ทั่วไป ทำไมมีโรงละคร มีพิพิธภัณฑ์ มีแกลอรี่มากมาย มีสิ่งเหล่านี้อยู่แสดงว่าต้องมีผู้ชม
เพราะถ้าไม่มีผู้เสพศิลป์แล้ว ศิลปินจะอยู่ได้อย่างไร
มาครั้งนี้จึงถึงบางอ้อ ประโยคข้างบนของครูสอนศิลปะ ตอบเราชัดเจนว่าเมืองนี้ไม่ได้สร้างคนให้สร้างงานศิลป์เพื่อคว้ารางวัลเท่านั้น แต่เมืองนี้สร้างผู้เสพศิลป์ด้วย เพราะถ้าไม่มีผู้เสพศิลป์แล้ว ศิลปินจะอยู่ได้อย่างไร กระบวนการเรียนการสอนศิลปะที่นี่ จึงมุ่งเน้นไปที่กระบวนการคิดเหมือนศิลปิน แล้วศิลปินคิดอย่างไร ???
วิธีคิดแบบศิลปินที่ครูว่า คือการสอนให้เด็กรู้จักตั้งคำถาม สังเกตุ สอนให้เด็กเข้าถึงความงาม การสอนศิลปะที่เชื่อมโยงกับชีวิต เชื่อมโยงกับวิธีคิดทางสังคม ไม่ใช่ศิลปะเพียวๆเท่านั้น
ครูศิลปะกับครูคหกรรมบูรณาการการเรียนร่วมกัน เด็กจึงเรียนทำอาหารอย่างมีศิลปะ
ที่สำคัญทำสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้มีสุนทรียะ มีศิลปะอยู่ในทุกเรื่องราว ศิลปะในอาหาร ศิลปะในการแต่งตัว ครูศิลปะกับครูวิชาคหกรรมบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกัน เด็กเรียนทำอาหารอย่างมีศิลปะ ไม่ใช่แค่ทำอาหารเป็นแต่ทำให้สวยด้วย จบด้วยถ่ายภาพอาหารอย่างไรให้สวย โอ้ยยย !! ครบถ้วน ที่นี่เราเห็นห้องเรียนศิลปะที่แค่เข้าไปก็น่าเรียนโคตรๆแล้ว ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างมีศิลปะ โต๊ะ เก้าอี้ มุมแสดงงาน มีแม้กระทั่งมุมกาแฟ ครูเชิญบาริตต้ามืออาชีพมาสอนเด็กๆเรื่องกาแฟ ไม่ใช่ให้ไปเป็นบาริตต้า แต่สอนศิลปะในกาแฟ เด็ก ม.ปลาย มีแกลอรี่แสดงผลงานที่ไม่ใช่แค่เอางานมาติดตั้ง แต่ต้องบริหารจัดการแกลอรี่เองทุกอย่างตามโจทย์ในแต่ละเทอม เราเห็น โรงเรียนประถมที่มีเด็กแค่ 15 คน แต่แม้แต่เล้าไก่ หรือแปลงปลูกผักก็เป็นศิลปะ ไม่นับป้ายต่างๆ ในโรงเรียนช่างเจริญหูเจริญตาไปหมด
เมื่อเด็กอยู่ในบรรยากาศของความงามของศิลปะ การเข้าถึงสุนทรียะของศิลปะจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเค้า และมันไม่ใช่เรื่องยากเลยเมื่อเค้าอยู่ในวัยทำงาน เค้าจะควักเงินซื้อตั๋วราคาแพงๆมาดูละคร มาดูการแสดงกันเต็มโรง นี่ไม่ต้องพูดถึงการเข้าชมศิลปะตามแกลอรี่ต่างๆที่ศิลปินมีงานแสดงอยู่บ่อยๆ แสดงว่ามีผู้ชมตลอด และไม่ใช่เรื่องแปลกอีก ถ้าเด็กที่ถูกหล่อหลอมให้มีสุนทรียะ โดขึ้นไปเป็นผู้บริหารประเทศ จะมีนโยบายแปลงร่าง สร้างเมืองให้เต็มไปด้วยศิลปะ
ยอมสร้างรถไฟฟ้าเพิ่ม 1 สายที่มีเพียง 1 สถานีเพื่อให้ไปถึงห้องสมุดประชาชนที่นอกจากจะมีหนังสือมากมายแล้ว ยังเป็นห้องสมุดที่ดีไซน์กิ๊บเกร๋ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย แม้แต่จุดบริการนักท่องเที่ยว ยังลงทุนดึงดูดผู้คนด้วยงานศิลปะของศิลปินจากนานาประเทศ มีเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ที่เนรมิตบรรยากาศในคืนพระจันทร์เต็มดวงริมทะเล ให้เต็มไปด้วยของสีสันดนตรีชนเผ่าที่สากลมากๆ และงานคร๊าฟท์เต็มลาน ให้ผู้คนร่วม 5,000 คน เข้าชมฟรี
มีนโยบายให้ NPO ที่ทำงานศิลปะ เข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ที่รัฐไม่ใช้แล้วให้เป็นพื้นที่ศิลปะ เป็นสตูดิโอของศิลปินแทนที่จะทุบทิ้ง มีนายทุนใหญ่ที่สัมปทานพื้นที่ของรัฐ แต่แปลงร่างให้เป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่ ลงทุนปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นพื้นที่สวยงาม ที่ผู้คนมาใช้บริการ มาเสพศิลปะ มาถ่ายภาพ โดยไม่ต้องเสียตังค์ค่าเข้าชมแต่อย่างใด มาถึงตรงนี้ก็แอบเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้วว่า ถ้านายทุนบ้านเราได้สัมปทานพื้นที่สถานีรถไฟซักแห่งมันจะถูกแปลร่างไปเป็นอะไร อุ๊ย !!! สลัดความคิดนี้ทิ้งไป เสียบรรยากาศหมดเลย
เพราะฉะนั้นจะแปลกอะไร ถ้าที่นี่จะเป็นที่ที่ศิลปินจากทั่วโลกมาพำนัก มาสร้างงาน และแสดงงานกันมากมาย
ในโทรศัพท์ของเด็กๆมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง แต่จะมีซักกี่เพลงที่เด็กเข้าถึงความงามของดนตรี
ตัดกลับมาที่บ้านเรา (จริงๆไม่อยากเปรียบเทียบ เพราะมันเปรียบเทียบไม่ได้จริงๆ) เด็กของเราที่เก่งศิลปะ ฝีมือดีมีไม่ใช่น้อย แต่กว่าจะได้ดีขนาดนั้น ต้องเรียนพิเศษ ต้องจ้างครูมาสอนกันมากมายขนาดไหน เพื่อให้วาดภาพเก่ง ให้เล่นดนตรีเพราะ เพื่อให้ได้รางวัลมา แต่ขณะเดียวกันในโรงเรียนประถม(ส่วนใหญ่)ของเราไม่มีครูสอนศิลปะ วิชานาฎศิลป์ถูกตัดออกจากตารางการเรียนการสอน เราไม่มีบรรยากาศของการเข้าถึงศิลปะ เราไม่มีทักษะในการเสพศิลป์ น้าหมูพงษ์เทพ เคยพูดว่า “ในโทรศัพท์ของเด็กๆมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง แต่จะมีซักกี่เพลงที่เด็กเข้าถึงความงามของดนตรี” เพราะวิชาศิลปะในบ้านเรา คือต้องวาดเก่ง เล่นดนตรีดี ต้องรำสวยเท่านั้น เด็กวาดไม่เก่ง เล่นดนตรีไม่ได้ รำไม่สวยอย่างเราก็ตกขอบวิชานี้ไป เพราะเราเรียนศิลปะเพื่อสร้างศิลปินเท่านั้น เราไม่มีวิธีคิดในการสร้างผู้คนของประเทศให้รู้จักความงาม ให้มีอารมณ์สุทรียะ ให้เป็นผู้เสพศิลปะเลย
จึงไม่แปลกเลยที่โรงละครดีดีของพี่ๆเราจึงรอดยาก เพราะไม่มีผู้เสพ ที่จะรอดก็ต้องเป็นของทุนใหญ่ๆ สายป่านยาว ไม่แปลกเลยที่คนบ้านเราเข้าแกลอรี่น้อย เพราะดูไม่รู้เรื่อง ไม่แปลกอีกที่เด็กๆไม่มีทักษะในการชมละครเวที ฟังเพลงแนวเดิมๆซ้ำๆ ไม่แปลก และไม่ผิดเลย เพราะกระบวนการสอนให้คนมีทักษะในการเสพศิลป์ของเราอ่อนด้อยยิ่งนัก
ชีวิตของคนเราต้องขับเคลื่อนด้วยศิลปะ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอาชีพไหนก็แล้วแต่
สิ่งที่พวกเรากำลังทำ คือ อะไร พวกเราพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เด็กๆ เข้าถึงศิลปะอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้ศิลปะเป็นสื่อการเรียนรู้ สร้างสรรค์งานอีเวนต์ที่ไม่ใช่แค่จัดนิทรรศการแห้งๆ หรือจัดเหมือนที่เค้าเคยๆทำกันมา แต่พยายามคิดสร้างสรรค์ให้เป็นพื้นที่ศิลปะ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ผู้คนเข้าถึงได้ พวกเราจัดกิจกรรมที่คิดรายละเอียดทั้งเสียง แสง ภาพ ที่เด็กได้เห็น ได้ยินต้องมีความงามด้วย พวกเราอยากให้มีนโยบายที่เอื้อให้เราทำแบบนี้ได้ง่ายขึ้น อยากให้ทุกโรงเรียนมีกระบวนการสอนศิลปะที่น่าสนใจแบบไต้หวัน อยากให้รัฐช่วยสนับสนุนให้เรามีช่องทาง มีทรัพยากรในการทำงานที่สะดวกขึ้น แต่พวกเราไม่อยากคาดหวัง และเรารู้ เรารอไม่ได้ พวกเราจึงลงมือทำ ทำในพื้นที่ที่เราทำได้ ด้วยแรงที่เรามี ด้วยทรัพยากรที่เราหาได้ เพื่อให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ให้เป็นพื้นที่ศิลปะที่ชุมชนเข้าถึงได้ เพื่อให้เด็กๆของเราเสพงานศิลปะ เพื่อให้เด็กของเรามีทักษะในการเช้าถึงความงาม
เพราะเราเชื่อเหลือเกินว่า ชีวิตของคนเราต้องขับเคลื่อนด้วยศิลปะ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอาชีพไหนก็แล้วแต่
การสร้างผู้คนในประเทศให้มีสุนทรียะ ไม่ใช่เพียงเพื่อเสพงานศิลป์เป็นเท่านั้น แต่เพื่อให้เค้าเอาศิลปะไปใช้กับชีวิต เพื่อให้เค้าแก้ปัญหาชีวิตอย่างมีศิลปะด้วย <<<
เรื่องเล่าจาก TaiwanDjung
เล่าโดย..T O N S O M