แหล่งเรียนรู้กอบกู้ชีวิต โดยพ่อคำเดื่อง ภาษี

แหล่งเรียนรู้กอบกู้ชีวิต โดยพ่อคำเดื่อง ภาษี

รอบปีที่ผ่านมากลุ่มไม้ขีดไฟได้มีโอกาสเดินทางไปพบปราชญ์ในภูมิภาคต่างๆเพื่อหาคำตอบในการทำงานพัฒนาเด็กและสังคมผ่านมุมมองปราชญ์ชาวบ้านเพื่อไปฟังข้อคิดและขอความเห็นในการทำงานคนแรกที่เราได้พบคือ พ่อคำเดื่อง  ภาษี  ปราชญ์ชาวบุรีรัมย์  ลองฟังทัศนะของท่านต่อชีวิตและการทำงานพัฒนาสังคม

พ่อคำเดื่อง บอกว่า เรื่องเด็กเป็นเรื่องยากมาก  ซึ่งตัวแกเองก็บอกว่าไม่สามารถทำได้ ไม่ถนัด  พูดแล้วเด็กไม่ฟังเด็กไม่มีประสบการณ์แต่ก็ให้แนวทางว่าการเรียนรู้ของเด็กควรอยู่ในชุมชนเรียนรู้จากคนที่หลากหลายและควรเน้นที่การสร้างพื้นฐานที่ดีงามให้กับเด็กเช่น  ความงดงามรื่นรมณ์ในธรรมชาติ  การสร้างประสบการณ์ในชีวิตชนบท  โดยไม่เน้นเทคนิคหรือความรู้เพราะประสบการณ์จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เขาเติบโต  ตั้งคำถาม  เรียนรู้  เผชิญโลกได้อย่างปรกติ  ไม่ตกเป็นเหยื่อวัตถุนิยม

  • การงานในปัจจุบัน

ดูแลศูนย์เรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง  โดยเน้นที่การฝึกอบรมในด้านแนวคิดและเทคนิคการทำเกษตรพึ่งตนเองมีผู้เข้าร่วมมาจาก กลุ่มชาวบ้านโดยการสนับสนุนจากภาครัฐ  ปีล่ะประมาณ 2,000 คน และจาก อบต.  สถานศึกษา  และมหาวิทยาลัย

  • ความเป็นมาของแหล่งเรียนรู้  พ่อคำเดื่องภาษี

พ่อคำเดื่อง  เริ่มต้นเรียนรู้การพึ่งตนเองจากวิกฤตในชีวิต  ที่แกมีหนี้จากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว(ปลูกมัน)  ยิ่งทำก็ยิ่งจน  ยิ่งเจ็บประกอบกับเป็นคนสนใจธรรมมะ  และเป็นนักตั้งคำถามกับปรากฏการณ์รอบตัว  และมุ่งสนใจคุณค่าที่แท้  ที่จริงสูงสุด  จึงทำให้พ่อคำเดื่องเป็นคนบ้าในสายตาคนรอบตัว (คุณค่าที่แท้  เช่น  อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต  ถ้าชีวิตสำคัญที่สุด  เรื่องเงิน  เรื่องอื่นๆก็ไม่สำคัญ)

จากคนบ้าจึงเริ่มใช้ชีวิตแบบใหม่เน้นการพึ่งตนเองมากกว่าการมุ่งหาเงิน  ทำให้ค้นพบการทำเกษตรแบบธรรมชาติเช่นการทำนาโดยไม่ไถนา  เอาฟางคลุม  และได้ผลผลิตอย่างน่าพอใจ ตนทำให้สามารถปลดหนี้ได้อย่างรวดเร็ว

  • จากการทดลองใช้ชีวิต  ทำให้มีบทเรียนจำนวนมากที่พร้อมจะแบ่งปันให้ผู้อื่น 

ปี 2550  พ่อคำเดื่องเริ่มเป็นที่สนใจของสังคมในแง่ของคนทำนาที่ไม่ไถนาและหว่างปีนั้นเองที่ ฟูกูโอกะ  เจ้าของหนังสือปฏิวัติด้วยฟางเส้นเดียวเดินทางมารับรางวัลในประเทศไทยและมีความต้องการที่จะดูเกษตรธรรมชาติในเมืองไทย  พ่อคำเดื่องจึงเป็นพื้นที่ๆคนรสนา  โตสิสกุลผู้จัดงานได้เลือกให้คุณฟูกูโอกะ  ลงพื้นที่และนั่นทำให้สื่อจากสำนักต่างๆได้ลงพื้นที่และได้รู้จัก  ทำให้พ่อคำเดื่อง  เป็นที่รู้จักในแวลาอันรวดเร็ว  ประกอบกับการเกิดขึ้นของกองทุนซิพ(กองทุนเพื่อการลุงทุนทางสังคม)  โดยการขับเคลื่อนของ  อาจารย์อเนก  นาคะบุตร  ได้ช่วยส่งเสริมให้เกิดแหล่งเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง  ที่บ้านพ่อคำเดื่อง  โดยการสนับสนุน  อาคารฝึกอบรมและ  สนับสนุน  ทุนในการส่งให้กลุ่มชาวบ้านเข้ามาร่วมฝึกอบรมโดยมีเป้าหมายปีล่ะ 2,000  คน  ซึ่งปัจจุบัน  ลดลงเหลือปีล่ะ 200 คน

  • นิยามแหล่งเรียนรู้คือ   ไม่ได้คำตอบ   พ่อบอกว่าไม่รู้จักเลย

การออกแบบหลักสูตรเน้นที่แนวคิดเปลี่ยนแนวคิดให้ได้ก่อน  เทคนิคเป็นเรื่องรองโดยใช้เรื่องธรรมมะเป็นแกนกลางพ่อคำเดื่อง  เน้นว่าถ้าเราสามารถท้าทายตัวเองได้และสามารถสะสมความสำเร็จจากน้อยไปมากโอกาสที่จิตใจจะเข้มแข็งจะเป็นไปได้มากการอบรมจึงเริ่มที่แนวคิดและการทดลองลงมือปฏิบัติ  หักห้ามในต้นเอง  ค่อยลงเนื้อหาเชิงเทคนิคการทำเกษตร  เป็นเรื่องรองเทคนิคสำคัญของพ่อคำเดื่องคือการมุ่งกระทำงานให้มากกับคนที่เป็นบัวพ้นน้ำเพราะคนเหล่านี้ถ้าเข้าใจเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและสามรถเป็นแกนนำทำตัวอย่างความสำเร็จให้สามรถจำต้องได้และเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆได้ต่อไป

ทิศทางในอนาคตของแหล่งเรียนรู้ พ่อให้แนวทางว่าตอนนี้ อบต.กำลังถูกกล่าวหาว่าการนำชาวบ้านไปดูงานเป็นกิจกรรมฟุ่มเพือยไม่ได้ผล ดังนั้นจึงมี อบต.จำนวนมากเริ่มติดต่อเข้ามาโดยใช้งบประมาณการศึกษาดูงาน  (โดยต้องเสียค่าฝึกอบรม วัน 4  คืน  จำนวน3,000บาท/หัว) และมีแนวโน้มว่าแหล่งเรียนรู้จะเป็นแนวทางหนึ่งของการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ๆ (ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์)

  • การบริหารแหล่งเรียนรู้ให้คนเข้ามาเรียนรู้

พ่อคำเดื่องไม่ได้มีแผนเรื่องนี้ชัดเจนนักแต่จากการพูดคุยทำให้เห็นว่า  พ่อคำเดื่องได้รับการยอมรับในวงกว้างเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีถูกเชิญให้ไปให้ความเห็นให้แนวคิดนายธนาคารและมีบทบาททางด้านการพัฒนาสังคมเป็นอย่างมาก  ทำให้ผู้ที่มีอำนาจดูแลนโยบายสามารถที่จะช่วยสนับสนุนให้คนเข้ามาเรียนรู้ได้อย่างไม่สะดุด

  • ความเห็นเรื่องแหล่งเรียนรู้เพื่อเด็กและครอบครัว

พ่อบอกว่าเรื่องเด็กเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งตัวแกเองก็บอกว่าไม่สามารถทำได้  ไม่ถนัด  พูดแล้วเด็กไม่ฟัง  เด็กไม่มีประสบการณ์แต่ก็ให้แนวทางว่าการเรียนรู้ของเด็กควรอยู่ในชุมชนเรียนรู้จากคนที่หลากหลายและควรเน้นที่การสร้างพื้นฐานที่ดีงามให้กับเด็กเช่น  ความงดงามรื่นรมณ์ในธรรมชาติ  การสร้างประสบการณ์ในชีวิตชนบท  โดยไม่เน้นเทคนิค  หรือความรู้  เพราะประสบการณ์จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เขาเติบโต  ตั้งคำถาม  เรียนรู้  เผชิญโลกได้อย่างปรกติ  ไม่ตกเป็นเหยื่อวัตถุนิยม

  • สิ่งที่พ่อคำเดื่องกำลังลงมือทำ

“เมืองบุรีรัมย์น่าอยู่ที่สุดในโลก” โดยการชักชวนผู้คนให้เริ่มปลูกต้นไม้  ใช้ชีวิตพอเพียง  เพราะวันที่ต้นไม้หมดโลกคนมีเงินล้านนึง  ก็ไม่สามารถซื้อต้นไม้  ซื้อความเย็นจากป่าได้  เป้าหมายเรื่องนี้  300 ปีและก็มุ่งสร้างการเรียนรู้เรื่องเกษตรทางเลือก / พลังงานทางเลือก/สุขภาพทางเลือก/การท่องเที่ยวทางเลือกเพราะจากนี้ไป  ต้นทุนเป็นเรื่องสำคัญ  โดยเฉพาะต้นทุนธรรมชาติ  และวิถีชีวิตที่มีความสุข

บันทึกการพูดคุยโดย  กลุ่มไม้ขีดไฟ  ปี 2559